Monday, September 30, 2019

การออกแบบระบบน้ำเพื่อการเกษตร การเลือกปั๊มน้ำการเกษตร

source : http://www.pakwanban.com/article/71/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3

การออกแบบระบบน้ำเพื่อการเกษตร  การเลือกปั๊มน้ำ
ปั๊มน้ำ
ปั๊มน้ำเป็น อุปกรณ์สำหรับส่งน้ำหรือถ่ายเทของเหลวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อเพิ่มแรงดันของน้ำ ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้ มอเตอร์(ไฟฟ้า) และ แบบที่ใช้ เครื่องยนต์(น้ำมัน) ทำหน้าที่หมุนส่งกำลังให้ปั๊มน้ำทำงาน เพื่อเพิ่มแรงดัน และส่งน้ำไปตามท่อปั๊มน้ำที่ใช้ในบ้านส่วนใหญ่
เครื่องสูบน้ำ(ปั๊มน้ำ) สำหรับการเกษตรนิยมใช้แบบปั๊มหอยโข่ง ซึ่งอาจขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ตามความเหมาะสม เช่น
ปั๊มน้ำขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 2HP(แรงม้า) จะให้น้ำเฉลี่ย 25,000-30,000  ลิตร/ชั่วโมง
ปั๊มน้ำขับด้วยเครื่องยนต์ แบบใช้เครื่องยนต์เบนซิลขนาด 5-7HP(แรงม้า) หรือแบบใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 8-12HP (แรงม้า)  จะให้น้ำเฉลี่ย 20,000-50,000  ลิตร/ชั่วโมง แล้วแต่อัตราเร่ง
เครื่องสูบน้ำ มักจะเป็นปัญหาให้กับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อเอามาใช้งาน ไม่ว่าเพื่อนำมาใช้ในรูปแบบใดก็ตาม ถ้าเลือกที่ให้น้ำมากไปก็เสียเงินเกินความจำเป็น ตัวที่ให้น้ำน้อยไปก็เสียเงินซื้อเครื่องใหม่ ทำให้ต้องเสียทรัพย์เพิ่มโดยไม่มีความจำเป็น
จะพิจารณาจากอัตราการไหล ซึ่งบอกปริมาณน้ำ(Quantity – Q) ต่อหน่วยเวลาและแรงดันหรือแรงส่งน้ำ (Head – H)  จะบอกความสูงเป็นเมตร ทั้ง Qและ จะเป็นตัวกำหนดกำลัง(แรง)ของเครื่องสูบน้ำนั้น ๆ ซึ่งอาจจะบอกเป็นวัตต์(W)กิโลวัตต์(KW) หรือแรงม้า(HP)  ตัวเลขดังกล่าวจะบอกไว้บน Name Plate บนตัวเรือนปั๊ม
เช่น เครื่องสูบน้ำมีแผ่นป้ายประจำมอเตอร์(Name Plate)บนตัวเครื่องระบุว่า
Q = 300-950 ลิตรต่อนาที
H = 12– 6 เมตร
อธิบายได้ว่า ถ้าเครื่องสูบน้ำส่งน้ำสูงที่ระยะไม่เกิน เมตร จะได้ปริมาณน้ำ 950 ลิตรต่อนาที ส่งน้ำสูงที่ระยะ 12 เมตร จะได้น้ำเพียง 300 ลิตรต่อนาที ส่วนปริมาณน้ำที่ระยะสูงระหว่าง 6-12 เมตร จะบอกมาในคู่มือCurves  เส้นโค้งแสดงสมรรถนะ(Performance Curves) การแจ้งข้อมูลดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องสูบน้ำที่ผลิตจากต่างประเทศ
ในการเลือก ปั๊มน้ำเบื้องต้น ถ้าต้องการปริมาณน้ำมาก จะต้องเลือกเครื่องสูบน้ำที่บอกปริมาณน้ำ (Q) ที่มีค่ามากๆ แต่ถ้าต้องการส่งน้ำไปไกลมาก และส่งขึ้นที่สูงต้องเลือกเครื่องสูบน้ำที่บอกค่า สูง ข้อควรรู้ที่ต้องทราบ  ถ้าค่าของ มาก ค่าของ จะต่ำ และถ้าค่า น้อย ค่าของ ก็จะสูง
นอกจากดูอัตราการไหล(Q) และแรงดัน(H) แล้ว ยังมีส่วนอื่นที่ทราบด้วย ดังนี้
แรงม้า( HP) บางเครื่องจะบอกเป็น แรงม้า( HP)บางเครื่องบอกเป็นกำลังไฟเป็นวัตต์ (W) หรือกิโลวัตต์(KW) เช่น  1 แรงม้า เท่ากับ 746 วัตต์
ดูเทียบจากตาราง
หน่วย
ขนาดมอเตอร์มาตรฐาน
กิโลวัตต์(KW)(แรงม้า HP)
0.4(0.5)
0.75( 1 )
1.1( 1.5)
1.5( 2 )
2.2( 3 )
3( 4 )
3.7( 5 )
 ความเร็วรอบเครื่อง(มอเตอร์) ในเครื่องสูบน้ำที่มีประสิทธิภาพและกำลังเท่ากัน ควรเลือกเครื่องรอบหมุนต่ำดีกว่า เพราะเครื่องที่มีรอบหมุนสูงจะสึกหรอและเสื่อมเร็ว   รอบการหมุนของเครื่องจะบอกหน่วยเป็น รอบต่อนาที (RPM)
เครื่องสูบมาตรฐานจะบอกชั้นของฉนวน(Insulation class)และระดับการป้องกันฝุ่นละอองและน้ำ (IP) ชั้นของฉนวนกันความร้อน จะบอกถึงอุณหภูมิสูงสุดที่มอเตอร์จะทนได้
ส่วนระดับการป้องกันฝุ่นละอองและการป้องกันน้ำ จะบอกเป็นตัวอักษร IP(Protection Degree IP)ตามด้วยตัวเลข หลัก หลักแรกมี ระดับ เริ่มจาก   0 – 5 บอกระดับที่เพิ่มขึ้นของการป้องกันวัสดุแปลกปลอมหรือบุคคลจากการสัมผัสกับไฟฟ้า หลักสองมี ระดับ เริ่มจาก 0 – 8 บอกถึงระดับที่เพิ่มขึ้นในการป้องกันน้ำเข้ามอเตอร์  มอเตอร์ที่ผลิตขายทั่วไปจะมีระดับการป้องกันสูงสุดที่ IP 55 แต่สำหรับปั๊มสูบน้ำบ่อบาดาล(Multistage Centrifugal Pump) มีระดับการป้องกันถึง IP 58 ก็มี
การเลือกขนาดของปั๊มน้ำ ให้ความสำคัญ ส่วนคือ ปริมาณการจ่ายน้ำ(Q) และ แรงดันน้ำ(H)
ปริมาณการจ่ายน้ำ(Q): คือปริมาณน้ำที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง เช่นถ้าต้องการจ่ายน้ำครั้งละ1โซน Q = 6 ลบ.ม./ชม.
แรงดันน้ำ(H): ในพื้นที่ขนาดเล็ก ราบลุ่ม และใช้ท่อเมนไม่เกิน 100 เมตร จะต้องการแรงดันน้ำ H = 25 เมตร
ในพื้นที่ซึ่งระยะท่อเมนยาวกว่าปกติ คือมากกว่า 100 เมตร จะต้องเพิ่มค่าแรงดันมาตรฐาน(H=25)ขึ้นอีกเท่ากับ เมตรทุกๆระยะท่อเมน 100 เมตร เช่น ระยะท่อเมน 300 เมตร ดังนั้นแรงดันน้ำที่ต้องการ(H) = 25 + (4*300/100) = 25+12 = 37 มตร
                           
ในพื้นที่เป็นเนินลาดชัน จะต้องเพิ่มค่าแรงดันมาตรฐาน(H=25)ขึ้นอีกเท่ากับระดับความสูงระหว่างพื้นที่กับปั๊มน้ำ เช่น พื้นที่เป็นเนินสูงขึ้น เมตร ดังนั้นแรงดันน้ำที่ต้องการ(H) = 25+5 = 30 เมตร
หมายเหตุ 1.ในการเลือกปั๊มน้ำควรเพิ่มค่าแรงดันน้ำ(H)ขึ้นอีก ~30% เพื่อชดเชยแรงดันน้ำที่สูญในระบบ(Head Loss)
   2. 
หน่วยวัดกำลังของมอเตอร์มี ลักษณะ คือ HP(แรงม้า) และ Watt(วัตต์) (โดย 1 HP = 750 W.)
ข้อมูลไฟฟ้า จะต้องดูว่าใช้ไฟ กี่โวลต์ (V) ใช้กระแสไฟกี่แอมแปร์(A) ใช้ไฟ เฟตหรือไฟ เฟส  เพื่อเลือกเครื่องสูบที่ใช้ไฟฟ้าให้ตรงกับระบบไฟฟ้าของของสถานที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ
การเลือกซื้อปั๊ม 
1.รู้รายละเอียดการใช้น้ำ เช่น ถ้าจะติดตั้งสปริงเกอร์ต้องรู้ปริมาณน้ำและแรงดันของสปริงเกอร์แต่ล่ะชนิด เช่น หัวจ่ายน้ำแบบเหวี่ยงรูจ่ายน้ำ4 หมุนจ่ายปริมาณน้ำ 200-400ลิตร/ชั่วโมง หัวฉีดสเปรย์ รูน้ำผ่านขนาด2-3มิลลิเมตร จ่ายปริมาณน้ำ 80-120ลิตร/ชั่วโมง เป็นต้น
2.เลือกปั๊มน้ำ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ปั๊มทะเล/เคมีสำหรับสูบน้ำทะเลหรือเคมีปั๊มหอยโข่งสำหรับงานเกษตร,งานสปริงเกลอร์,งานประปาหมู่บ้านหรืองานดับเพลิง ปั๊มแช่สำหรับงานดูดน้ำบาดาล,น้ำดีหรือน้ำเสีย
3.เลือกขนาดของปั๊ม ในการเลือกปั๊มต้องดูว่าปั๊มสามารถจ่ายปริมาณน้ำได้มากแค่ไหนเพียงพอกับการใช้งานหรือไม่ และที่แรงดันน้ำที่ต้องการ เช่น
ปริมาณน้ำ 280 ลิตร/นาที หรือ 30 m3 / h (ลูกบาศก์เมตร / ชั่วโมง) 
-แรงดัน5บาร์(10 m=1bar ) ระยะทางส่ง50เมตรเท่ากับ 5บาร์
ขนาดมอเตอร์ 220 V.หรือ380 V (Volt แรงดันไฟฟ้าที่จ่ายเข้ามอเตอร์) 
-50 Hz. (Hertz ความถี่ไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้)
- 400 W. (Watt กำลังไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้) 
- 1.6 A. ( Amp กระแสไฟฟ้า ที่มอเตอร์ใช้)  
ตัวอย่างการเลือกปั๊มน้ำการเกษตร ครอบคลุมพื้นที่ 5ไร่(8,000 ตารางเมตร)
ในที่นี้จะคำนวณระบบเพื่อหาขนาดของปั๊มน้ำ โดยกำหนดว่าเป็นสวนเกษตรผสมผสานมีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน
1.ปลูกมะนาว 200ต้น ใช้พื้นที่2ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ มินิสปริงเกอร์ Pro Series Set (หัวมินิสปริงเกอร์ พร้อมขาปัก 40 cm.+สายยาวสายไมโคร พีอี 60 cm.) ท่อแยกเป็นท่อPE 20มิลลิเมตร หัวมินิสปริงเกอร์เป็นแบบกระแทกด้านบนจ่ายน้ำลงมาเป็นรูปกรวยด้านล่าง อัตราการจ่ายน้ำ 70ลิตร/ชั่วโมง(1.16ลิตร/นาที) รัศมี 0.5-1.5เมตร
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา10นาที  1.16ลิตร/นาที x 10 นาที x 200จุด= 2,320ลิตร(232ลิตร/นาที)
2.ปลูกผักหวานบ้าน ใช้พื้นที่1ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ สปริง เกอร์ใบ PVC  (หูช้าง) ปริมาณน้ำ 360 ลิตร / ชม(6ลิตร/นาที). สวมใน ขนาด 1/2" ลักษณะน้ำกระจายเป็นเม็ดใหญ่กระจายทั่ว มุมน้ำ 45 องศา รัศมีน้ำ เมตรท่อจ่ายน้ำสูง 1เมตร ท่อแยกเป็นท่อ PVC ขนาด1นิ้ว ติดตั้งทั้งหมด 50จุด เปิดน้ำเป็นเวลา 20นาที
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา 20นาที  6ลิตร/นาที x 20นาที 50 จุด = 6,000ลิตร(300ลิตร/นาที)
3.ปลูกไผ่ ใช้พื้นที่ 1ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ มินิสปริงเกอร์ โรเตอร์ Pro Series Set (หัวมินิสปริงเกอร์ พร้อมขาปัก 40 cm.+สายยาวสายไมโคร พีอี 60 cm.) ท่อแยกเป็นท่อPE 20มิลิเมตร หัวมินิสปริงเกอร์เป็นแบบหมุนรอบตัว อัตราการจ่ายน้ำ 70ลิตร/ชั่วโมง(1.16ลิตร/นาที) รัศมี 1-2เมตร ติดตั้งทั้งหมด 100จุด เปิดน้ำเป็นเวลา 10นาที
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา10นาที  1.16ลิตร/นาที x 10 นาที x 100จุด= 1,160ลิตร(116ลิตร/นาที)
4. ปลูกผักสวนครัว ใช้พื้นที่1ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ มินิสปริงเกอร์ โรเตอร์ Pro Series Set (หัวมินิสปริงเกอร์ พร้อมขาปัก 40 cm.+สายยาวสายไมโคร พีอี 60 cm.) ท่อแยกเป็นท่อPE 20มิลิเมตร หัวมินิสปริงเกอร์เป็นแบบหมุนรอบตัว อัตราการจ่ายน้ำ 70ลิตร/ชั่วโมง(1.16ลิตร/นาที) รัศมี 1-2เมตร ติดตั้งทั้งหมด 100จุด เปิดน้ำเป็นเวลา 10นาที
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา15นาที  1.16ลิตร/นาที x 15 นาที x 100จุด= 1,740ลิตร(116ลิตร/นาที)
รวมความต้องการน้ำจากข้อ1-4ภายใน 1นาที  =232+300+160+160 =852ลิตร(51,120ลิตร/ชั่วโมง)
ในการหาขนาดปั๊มเกษตรกรทราบแล้วว่าต้องการปั๊มน้ำที่จ่ายปริมาณน้ำต่ำสุดที่ 51,120ลิตร/ชั่วโมง แต่ในการใช้งานจริงจะมีการระบบจะมีการลดประสิทธิภาพความสามารถในการส่งน้ำของปั๊มน้ำหลายปัจจัย เช่น ความลึกของท่อด้านดูดของปั๊ม หรือระยะทางและขนาดของท่อเมนเป็นต้น รวมถึงส่วนต่อขยายเพิ่มในอนาคตดังนั้นจึงเพิ่มความต้องการไปอีก30% จะได้ 51,120+15,336 =66,456 ลิตร/ชั่วโมง(1,107ลิตร/นาที)
ในขั้นตอนนี้เกษตรคงทราบแล้วว่าต้องการปั๊มน้ำที่สามารถจ่ายปริมาณน้ำที่1,107ลิตร/นาที จากตัวเลขนี้ก็มาเทียบเคียงกับตารางมาตรฐานของปั๊มน้ำ
จากตัวเลขในตาราง เลือกปั๊มน้ำ รุ่น WCL-2205SF ขนาด 3 แรงม้า ท่อดูดและท่อจ่าย 3นิ้ว ใช้ไฟฟ้า 220V  โดยจุดส่งน้ำสูงจากฐานปั๊มน้ำไม่เกิน 4เมตร
หรือในกรณีที่ปั๊มน้ำ แหล่งน้ำและพื้นที่สวนอยู่ในระดับเดียวกันหรือพื้นที่สวนอยู่ต่ำกว่าฐานติดตั้งปั๊มน้ำเกษตรกรก็สามารถเลือกปั๊มขนาด 2แรงม้าได้ ในกรณีที่เกษตรกรมีปั๊มน้ำขนาด1แรงม้าอยู่แล้วก็สามารถใช้งานได้เช่นกันโดยใช้วาล์วน้ำเปิด-ปิดท่อแยกเพื่อจ่ายน้ำในแต่ล่ะพื้นที่ได้
สิ่งที่ควรรู้ก่อนการติดตั้งปั๊มน้ำ 
เมื่อเลือกขนาดปั๊มน้ำได้แล้ว ก็ต้องดูสถานที่ที่จะติดตั้งให้เหมาะสม เพื่อความสะดวก ปลอดภัย และทนทาน และก่อนการติดตั้งควรจะทำความเข้าใจส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อให้ปั้มน้ำทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สิ่งที่ควรทราบก่อนการติดตั้ง คือ
1.ศึกษาข้อมูลและคู่มือก่อนการติดตั้ง
 
2.ควรติดตั้งโดยช่างที่มีความรู้ ความชำนาญ
3.ตัดไฟฟ้าก่อนทำการติดตั้ง
4.ติดตั้งชุดควบคุม (เบรกเกอร์) เพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการซ่อมบำรุง
5.ขนาดของสายไฟต้องรองรับกระแสไฟฟ้าที่ใช้กับปั๊มได้
6.ต้องติดตั้งเข้ากับถังเก็บน้ำ
7.ติดตั้งในที่ร่ม หรืออาจทำเป็นหลังคาคลุม เพื่อไม่ให้โดนแดดโดนฝน
8.ติดตั้งให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 10 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและสะดวกต่อการซ่อมบำรุง
9.ติดตั้งให้สูงจากพื้นเล็กน้อยอยู่บนฐานรอง เพื่อป้องกันน้ำขังและสะดวกต่อการทำความสะอาด
10.ติดตั้งข้อต่อของปั๊มควรให้ได้ระนาบเดียวกันกับท่อน้ำ เพราะถ้าไม่ได้ระนาบอาจจะทำให้เสียหายได้ในขณะที่ปั้มทำงาน
11.ติดตั้งท่อน้ำควรระวังเรื่องเศษวัสดุและสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปในท่อ ซึ่งจะทำให้ระบบเกิดการขัดข้องได้
12.ติดตั้งท่อดูดและท่อจ่ายน้ำให้ได้ขนาดถูกต้องตามคู่มือ
13.การติดตั้ง - ซ่อม ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ควรทำโดยช่างที่มีความรู้ ความชำนาญโดยตรง
ข้อควรระวังก่อนการติดตั้งปั๊มหอยโข่ง
1.การยกหรือเคลื่อนย้ายปั๊ม ควรกระทำด้วยความระมัดระวัง อย่าเหนี่ยวรั้งสายไฟของปั๊ม
2.ศึกษาข้อจำกัดการใช้งานโดยละเอียด
3.ควรหลีกเลี่ยงการใช้สูบของเหลวที่ไม่ใช่น้ำ เช่น น้ำมัน หรือเคมีอื่นๆ หรือใช้งานในสภาวะที่อาจเกิดอันตรายได้
4.ไฟฟ้าจ่ายเข้าตัวปั๊มจะต้องเป็นระบบเดียวกัน ควรติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟ และต่อสายดินทุกครั้ง
5.เลือกใช้ท่อเหล็ก หรือท่อพลาสติกที่ทนแรงดันได้ เพื่อป้องกันการเสียหายอันเกิดจากแรงสุญญากาศขณะดูด
6.ควรหลีกเลี่ยงการใช้ท่ออ่อน หรือสายยางสำหรับท่อดูด หรือท่อจ่ายเพื่อป้องกันท่อตีบและบิดงอ
7.ไม่ควรใช้งานเกินประสิทธิภาพของปั๊มเพราะอาจทำให้ปั๊มเสียหายได้
8.ควรระวังไม่ให้ปั๊มโดนน้ำหรือฝนสาดเพราะอาจทำให้อายุการใช้งานของปั๊มสั้นลง
9.การต่อท่อต้องซีลให้สนิทไม่รั่วลมในท่อดูด เพราะจะมีผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของปั๊ม
10.ท่อดูดจะต้องไม่สูงกว่าระดับของตัวปั๊ม
11.ท่อดูดจะต้องใส่ฟุตวาล์ว (หัวกะโหลก) และอาจจะใส่ตัวกรองน้ำร่วมด้วย
12.ปลายท่อดูดจะต้องจมอยู่ในน้ำ และควรห้างจากก้นย่อและผนังข้างบ่อไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางท่อดูด
13.จำไว้ว่า ปั๊มจะต้องมีน้ำเต็มตลอดเวลาในขณะใช้งาน
14.ท่อด้านจ่ายเหนือปั๊มน้ำให้ติดวาล์วกันน้ำย้อนและประตูน้ำ
15.เมื่อใช้งานอย่าลืมเปิดประตูน้ำทางท่อจ่าย
16.การติดตั้งท่อหรือชิ้นส่วนอื่นใดให้แน่ใจว่าน้ำหนักของมันจะไม่ส่งผลเสียโดยตรงต่อปั๊ม
17.หลีกเลี่ยงการต่อท่อหลายทาง หรือต่อท่อโค้งซิกแซกไปมา
18.ก่อนซ่อมบำรุงปั๊มจะต้องตัดกระแสไฟฟ้าออกก่อน


No comments:

Post a Comment