Monday, September 30, 2019

การออกแบบระบบน้ำเพื่อการเกษตร การติดตั้งปั๊มน้ำ

source : http://www.pakwanban.com/article/72/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3


การออกแบบระบบน้ำเพื่อการเกษตร การติดตั้งปั๊มน้ำ
ในกรณีที่ท่านเป็นเกษตรกรรายย่อยมีพื้นที่ไม่เกิน4ไร่ต้องการทำเกษตรแบบผสมผสาน และจะทำการติดตั้งปั๊มน้ำเพื่อการเกษตรในที่นี้จะกล่าวแบบภาพย่อๆเพื่อเป็นแนวทางในการติดตั้งปั๊มน้ำไว้ใช้งานเอง ส่วนในกรณีที่ท่านเป็นเกษตรกรผู้มีอันจะกินต้องการออกแบบระบบน้ำเพื่อการเกษตรขนาดใหญ่มากกว่า4ไร่ขึ้นไปปลูกพืชหลากหลายระบบส่งน้ำไกลใช้ปั๊มน้ำที่มีขนาดมากกว่า 3แรงม้าขึ้นไปเราแนะนำว่าเกษตรกรต้องมีความรู้ความชำนาญหรือหาที่ปรึกษาจะเป็นการดีที่สุดไม่เช่นนั้นจะเสียเงินและเวลาทำเงินของตัวเกษตรกรเอง งานแก้ไขย่อมยากกว่างานติดตั้งใหม่เสมอ ในที่นี้จะขอกล่าวเพื่อเป็นแนวทาง แต่ในความเป็นจริง ถ้าเกษตรกรไม่มีความรู้และความชำนาญขอแนะนำให้ปรึกษาผู้รู้เนื่องจากการติดตั้งปั๊มน้ำไฟฟ้ามีอันตรายต่อทรัพย์สินและตัวเกษตรกรเอง
1.ฟุตวาล์วหรือหัวกะโหลกกรองน้ำ ปลายท่อทางด้านดูดมีหัวกะโหลกทำหน้าที่ป้องกันน้ำในท่อดูดไหลออกและเพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดตันในใบพัด เช่น เศษขยะ เศษวัชพืช กุ้ง หอย ปู ปลาเป็นต้น ควรติดตั้งตะแกรงหรือตาข่ายกรองแบบหยาบแต่โดยก่อนที่น้ำจะเข้าไปในหัวกะโหลกอีกชั้น เนื่องจากหัวกะโหลกนั้นมีขนาดกรองใหญ่เมื่อมีเศษเข้าไปอุดตันในใบพัดปั๊มน้ำ แรงดูดและแรงจ่ายน้ำของปั๊มจะลดลงเกษตรกรต้องถอดหน้าปั๊มออกมาเพื่อเอาเศษออกจากใบพัดซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำเพราะซีลกันน้ำหน้าปั๊มจะชำรุดทำให้รั่วได้ เมื่อซีลปั๊มน้ำรั่วทำให้ระบบดูดและจ่ายน้ำของปั๊มลดลงจนสังเกตจากค่าที่อ่านจากเพรสเซอร์เกจได้
ระยะปลายท่อดูดไม่ควรความลึกไม่ควรเกิน6เมตรเมื่อวัดจากตัวปั๊มน้ำ และท่อดูดควรจะเป็นท่อPVCชนิดหนาหรือท่อเหล็กแป๊ปน้ำเนื่องจากจะมีแรงดูดจากปั๊มทำให้ท่อบี้แบนได้ในกรณีใช้สายยางเป็นท่อดูด ที่ท่อด้านเข้าและด้านออกหน้าปั๊มควรมีชุดยูเนี่ยนเพื่อถอดปั๊มออกจากระบบท่อกรณีที่ปั๊มเกิดชำรุด และท่อทางดูดไม่ควรต่อข้องอมากเกินไป
2.วายสเตรนเนอร์ สเตนเนอร์ คือ  ฟิลเตอร์  กรองละเอียด   ทำหน้าที่ กรองเศษตะกอน หรือ เศษวัสดุที่มีอยู่ในน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เศษไปติดหรือคาอยู่ในอุปกรณ์ในแต่ละชิ้น โดยจะทำให้น้ำที่ผ่านกรองสะอาดขึ้นรวมถึงยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ด้วย ข้อพึงระวังคือ ถ้ามีเศษไปติดหรืออุดตันทำให้มีผลต่ออัตราการไหลที่น้อยลง หรือใช้โครงตะแกรงตาถี่เป็นกรงติดตั้งที่หัวกระโหลกดูดน้ำ
3. มอเตอร์ ปั๊ม
การติดตั้งปั๊มน้ำ
              เมื่อเลือกขนาดปั๊มน้ำที่ต้องการได้แล้ว  ก็ต้องพิจารณาที่จะติดตั้งให้เหมาะสม   เพื่อความสะดวก ปลอดภัย และทนทาน
1.ควรติดตั้งปั๊มในที่ร่ม กันแดด กันฝน อาจทำหลังคา หรือกล่องใหญ่ๆคลุม แบบบ้านหมาก็ได้ ต้องให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และยกออกได้ ตรวจซ่อมปั๊มได้ง่าย แม้ว่าปั๊มส่วนใหญ่จะออกแบบมาให้ติดตั้งภายนอกได้  แต่ปั๊มที่อยู่ในที่ร่มจะทนกว่ามาก และปลอดภัยกว่ามากด้วย 
2.ควรติดตั้งปั๊มบนฐานรอง ให้ปั๊มสูงจากพื้นเล็กน้อย น้ำไม่ท่วมขัง ปั๊มจะทนมากขึ้น ไม่เป็นสนิม และปลอดภัย ลดโอกาสไฟฟ้ารั่ว
3.ติดตั้งปั๊มห่างจากผนังอย่างน้อย 10 เซนติเมตร ประมาณ 1 ฝ่ามือ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก  ปั๊มจะได้ไม่ร้อนมากขณะทำงาน  ช่วยให้ปั๊มทนขึ้นอีกแล้ว
4.ทั่วไปปั๊มจะมีใบพัดระบายความร้อนอยู่ด้านท้ายของปั๊ม ทำหน้าที่หมุนดูดอากาศผ่านด้านข้างตัวปั๊มเพื่อระบายความร้อน ควรติดตั้งในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก  ควรคอยตรวจดูอย่าให้มีใบไม้ เศษกระดาษ ถุงพลาสติก ติด ขวางทางระบายความร้อนของปั๊ม
5.การติดตั้งท่อน้ำกับตัวปั๊ม ควรติดตั้งให้ได้ระดับ และได้แนวพอดีกับแนวเกลียวหรือข้อต่อของปั๊ม อย่าให้งัด งอ หรือไม่ได้แนว ซึ่งอาจทำให้ ท่อแตกร้าว หรือตัวปั๊มแตกร้าว หรือเกิดรอยรั่วได้ง่าย เนื่องจากขณะที่ปั๊มน้ำทำงานจะมีการสั่นเล็กน้อย ถ้าติดตั้งท่อไม่ดี  อาจทำให้ส่วนที่งัดเสียหายได้ง่าย
 6.การติดตั้งท่อควรระวังอย่าให้มีสิ่งสกปรก เศษวัสดุ เศษท่อพี.วี.ซี.(ท่อพี.วี.ซี.ควรตัดด้วยกรรไกรตัดท่อพี.วี.ซี.ซึ่งให้รอยตัดที่เรียบ ไม่มีเศษพลาสติก)  เศษเกลียวท่อ เทปพันเกลียว เข้าไปในท่อ  ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดขัดใบพัดปั๊ม ติดขัดที่ลูกลอยหรือวาล์ว ต่างๆในระบบน้ำ
7.ท่อดูดและท่อจ่ายน้ำของปั๊ม ไม่ควรเล็กกว่าขนาดของจุดต่อท่อของปั๊ม  การใช้ท่อเล็กจะทำให้ประสิทธิภาพของปั๊มไม่ดี ไม่สามารถทำงานได้ดีเท่าที่ระบุในสเป็ค
 8.ไม่ควรต่อปั๊มดูดน้ำโดยตรงจากท่อประปา เนื่องจากจะทำให้ดูดสิ่งสกปรกในท่อประปาเข้ามาโดยตรง ถ้าท่อประปารั่วก็จะดูดน้ำสกปรกหรืออากาศเข้ามา (ในกรณีที่เกษตรกรคิดจะขโมยใช้น้ำหมู่บ้าน)
การต่อสายไฟฟ้าเข้ากับปั๊ม
 ควรเลือกขนาดสายที่สามารถรับกระแสไฟฟ้าที่ปั๊มใช้ได้เพียงพอ ถ้าใช้สายเล็กจะทำให้สายร้อนและละลายได้  
1. ควรติดตั้งสายไฟที่จุดต่อสายไฟในตัวปั๊ม ไม่ควรใช้การเสียบปลั๊ก หรือตัดปลายปลั๊กแล้วต่อสาย สายไฟไม่ควรมีจุดตัดต่อที่กลางสาย
2. ควรมีชุดเบรกเกอร์ควบคุมปั๊มต่างหาก 1 ชุด เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการซ่อม
3. ถ้าต้องเดินสายไฟฟ้านอกอาคารไปยังปั๊ม ควรเดินสายไฟโดยการร้อยในท่อพี.วี.ซี. สีเหลือง ซึ่งใช้สำหรับเดินสายไฟนอกอาคาร
4. ควรทำงานติดตั้งด้วยความละเอียด เรียบร้อย โดยใช้ช่างที่มีความรู้โดยตรง หรือศึกษาข้อมูลก่อนทำงานติดตั้ง การติดตั้งต่อท่อน้ำ ต่อไฟให้ปั๊มน้ำทำงานนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การติดตั้งให้ดี ปลอดภัย เรียบร้อย ต้องใช้ความรู้และความชำนาญพอสมควร
5.  การติดตั้ง - ซ่อม ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ควรทำโดยช่างที่มีความรู้  ความชำนาญโดยตรง และตัดไฟฟ้าก่อนทำการซ่อม-ติดตั้ง
ขนาดของปั๊มน้ำ
           โดยทั่วไปจะระบุขนาดของปั๊มน้ำด้วยกำลังหรือขนาดของมอเตอร์ที่ใช้หมุนปั๊ม เช่น ปั๊มน้ำขนาด 200 วัตต์ ,ปั๊มน้ำขนาด 400 วัตต์  ซึ่งใช้เลือกปั๊มได้เพียงคร่าวๆเท่านั้น  เพราะการเลือกใช้ปั๊มต้องดูว่าปั๊มสามารถจ่ายปริมาณน้ำได้มากแค่ไหนเพียงพอกับการใช้งานหรือไม่ และที่แรงดันน้ำที่ต้องการหรือไม่
             ปริมาณการจ่ายน้ำ แสดงเป็นปริมาณในหน่วยปริมาตรน้ำต่อเวลา  หมายถึงปั๊มสามารถจ่ายน้ำได้มากเท่าไหร่ในช่วงเวลาหนึ่ง  เช่น 150 ลิตร/นาที (l/min) หมายถึง ปั๊มน้ำสามารถจ่ายน้ำได้ปริมาณ 150 ลิตรในเวลา 1 นาที
             แรงดันน้ำ แสดงเป็นความสูงของน้ำ (เมตร) (ที่จริงหน่วยของแรงดันน้ำเป็น ขนาดของแรงต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ ซึ่งปรับเทียบให้เป็นความสูงของน้ำเพื่อให้ง่ายในการใช้งาน  ความสูงน้ำ 10 เมตร ประมาณแรงดัน = 1 barหรือ ประมาณ 1 kg/cm2)  ปั๊มทำงานจ่ายน้ำได้ที่ความสูงปลายท่อสูงเท่าไหร่  เช่น 10 เมตร (m) หมายถึง ปั๊มจ่ายน้ำได้เมื่อความสูงปลายท่อสูง 10 เมตร
         ป้ายรายละเอียดข้างปั๊ม (Name Plate)
              ที่ด้านข้างของปั๊มส่วนใหญ่จะแสดงรายละเอียดต่างๆของปั๊มไว้คร่าวๆ
              - ขนาดมอเตอร์  เช่น 220 V. (Volt แรงดันไฟฟ้าที่จ่ายเข้ามอเตอร์)
                          50 Hz. (Hertz ความถี่ไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้ 50 เฮิร์ท)
                          200 W. (Watt กำลังไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้ 200 วัตต์)
                          1.2 A. ( Amp กระแสไฟฟ้า ที่มอเตอร์ใช้ 1.2 แอมป์)
                รายละเอียดของมอเตอร์นี้ ไม่ได้ให้ข้อมูลโดยตรงเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายน้ำของปั๊มน้ำ แต่ก็ประมาณคร่าวๆได้ ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับการใช้งาน
              - ความสามารถของปั๊ม เช่น
                Q     0.6 - 2.4 m3 / h  หมายถึงอัตราการจ่ายน้ำของปั๊ม  ซึ่งสามารถจ่ายน้ำได้ปริมาณ 0.6ถึง 2.4 ลูกบาศก์เมตร (m3) ในเวลา 1 ชั่วโมง (h) ซึ่งอัตราการจ่ายน้ำนี้จะสัมพันธ์กับความสูงของปลายท่อหรือก๊อกที่ปล่อยน้ำออก
                H      1 - 8 m  หมายถึงปั๊มสามารถสร้างแรงดันน้ำ เทียบเป็นความสูงของน้ำที่ปั๊มสามารถจ่ายน้ำได้  ซึ่งสามารถจ่ายน้ำได้ที่ความสูงของปลายท่อสูง 1 ถึง 8 เมตร (m)
               อัตราการไหลของน้ำและแรงดันน้ำ มีความสัมพันธ์กันโดยที่แรงดันสูงจะจ่ายน้ำได้ปริมาณน้อย  ที่แรงดันต่ำจะจ่ายน้ำได้ปริมาณมาก ดังตัวอย่างปั๊มข้างบน ปั๊มราคาถูก บางยี่ห้อบอกรายละเอียดความสามารถของปั๊มไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด คือบอกเฉพาะค่าสูงสุดที่ปั๊มทำงานได้ เช่น
                 Q  MAX   3 m3 / h
                  h  MAX   12 m
ตัวอย่าง มอเตอร์ไฟฟ้าคุณสมบัติปั้มน้ำหอยโข่งใบพัดเดี่ยว ( น้ำมาก ) นิ้ว
MOdel:LHF1-5AM
ยี่ห้อ:POLO
ชนิด:เครื่องสูบน้ำชนิดหอยโข่งใบพัดเดี่ยว ( น้ำมาก )
กำลังมอเตอร์:2hp
แรงดันไฟฟ้า (Voltage):50 HZ
ขนาดท่อดูดxท่อส่ง (นิ้ว):2" × 2"
กำลังมอเตอร์ (kw):2 HP
Volt / Phase: 220V / 1เฟส
Head:22 (M)
อัตราไหล:500 ลิตร/นาที (L/MIN)
ปั๊มน้ำหอยโข่ง ขนาด แรงม้า 220 โวล์ 2.2KW.  ระบุกระแส 17.2 แอมป์ ซึ่งเป็นกระแสตอนปั้มStart จะกินกระแสเป็นปกติ ให้ใช้ ขนาดBreaker 17.2*1.25(ค่าเผื่อOverload)=22 แอมป์ ส่วนสายไฟปั๊มน้ำหอยโข่ง ไปซื้อที่อุปกรณ์ไฟฟ้า เขาจะมีตาราง ขนาดสายไฟกับโหลดที่ใช้เทียบกัน
มอเตอร์ 1HP 220v. - 6.6 A
มอเตอร์ 2HP 220v. - 12.7 A
มอเตอร์ 3HP 220v. - 18.6 A
มอเตอร์ 5HP 220v. -  29.6 A
4.ชุดเติมน้ำ ปกติแล้วท่อทางดูดต้องมีน้ำเต็มอยู่เสมอเนื่องจากชุดหัวกะโหลกจะมีซีลกันน้ำออกติดตั้งอยู่ด้านใน แต่เมื่อมีปัญหาหรือถอดชุดหัวกะโหลกออกเกษตรกรต้องเติมน้ำเข้าไปให้เต็มเส้นท่อจึงทำการเปิดปั๊มน้ำใช้งานต่อไป
5.ชุดดูดปุ๋ย และสารชีวภัณฑ์กำจัดแมลงและโรคพืช
ข้อดีของให้ปุ๋ยและ สารสกัดฮิวมิค แอซิด พร้อมกับการให้น้ำพืช
ประหยัดแรงงานในการให้ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยโดยใช้แรงคนเป็นงานหนักต้องอาศัยแรงงานค่อนข้างมาก และการให้ปุ๋ยมักไม่ค่อยทั่วถึง ถ้าใช้เครื่องจักรใส่ปุ๋ยค่าลงทุนค่อนข้างสูงอาจทำให้เกิดการอัดตัวแน่นของดินได้ การให้ปุ๋ยพร้อมกับการให้น้ำพืชนอกจากสะดวกในการให้ปุ๋ยแล้วยังสามารถให้บ่อยครั้งได้ตามความเหมาะสม
-พืชได้รับปุ๋ยอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอตลอดแปลงเพาะปลูก เนื่องจากปุ๋ยจะอยู่ในรูปของสารละลายพืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที และระบบการให้น้ำพืชสมัยใหม่สามารถที่จะทำการแพร่กระจายปุ๋ยได้อย่าทั่วถึงในแปลงปลูกพืชโดยการใช้ท่อส่งน้ำและหัวจ่ายน้ำ
ประหยัดปุ๋ย เพราะเป็นวิธีการให้ปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพสูง โดยพืชจะได้รับปุ๋ยมากกว่าวิธีการให้แบบอื่นนอกจากนี้ยังลดการสูญเสียเนื่องจากการตกค้างในดิน การสูญเสียเนื่องจากการชะล้างปุ๋ยออกไปเลยเขตรากพืช ลดการสูญเสียเนื่องจากการขนส่งปุ๋ยเข้าไปในแปลงปลูกพืช ลดปัญหาการถูกชะล้างเมื่อฝนตกหลังจากการให้ปุ๋ยไปแล้ว
-ลดเครื่องมือและอุปกรณ์ในการใส่ปุ๋ย เพราะปุ๋ยที่ใช้เป็นปุ๋ยน้ำหรืออยู่ในรูปสารละลาย ไม่ใช่ปุ๋ยที่เป็นของแข็งหรือปุ๋ยเม็ดซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงงาน และเครื่องมือในการเตรียมการและการขนย้ายมากกว่า
สามารถให้ปุ๋ยตามปริมาณและความต้องการของพืชได้ ซึ่งสามารถกำหนดปริมาณและสัดส่วนปุ๋ยที่แน่นอนในการให้แต่ละครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มธาตุอาหารพืชบางชนิดที่พืชต้องการเพียงเล็กน้อยเพื่อการเจริญเติบโต โดยผสมลงในสารละลายปุ๋ยที่จะให้แก่พืช ซึ่งการให้ปุ๋ยแก่พืชโดยวิธีอื่นทำไม่ได้
-สารชีวภัณฑ์สามารถปล่อยไปกับระบบน้ำได้ เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือ ชุด5พลัง กำจัดแมลงศัตรูพืช หรือ 4สหายกำจัดโรคพืช ในกรณีที่เกษตรกรทำแปลงใหม่หรือไถพรวนแปลงเก่าควรปล่อยเชื้อราชุด5พลังไปกับระบบน้ำเพื่อกำจัดแมลง หนอน ด้วง ปลวก ไส้เดือนฝอย ไข่แมลง ต่างๆรวมถึงเชื้อโรคพืชที่อาศัยอยู่ในดิน กำจัดตัดววงจรตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกระบวนการทำเกษตรสมัยใหม่ที่ดี
6.ชุดกันกระแทกของน้ำในระบบ
ในระบบท่อน้ำมักเกิด Water Hammer ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ความดันในท่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน โดยมีความดันเพิ่มขึ้นและลดลงจากความดันเดิมในลักษณะเป็นคลื่นขึ้นลงสลับกันไป  สาเหตุของการเกิด Water Hammer คือการเปลี่ยนแปลงความเร็วในท่ออย่างกะทันหันเช่นปิดเปิดวาล์วน้ำอย่างกะทันหัน และช่วงเวลาเปิด-ปิดมอเตอร์ ทำให้โมเมนตัมของน้ำเปลี่ยนไปเป็นแรงกระแทกตามผนังท่อ ถ้าแรงมันมากเกินกว่าความสามารถของท่อ ท่อก็จะแตกระเบิดได้ ระดับความเสียหายขึ้นอยู่กับความเร็วของการไหล อัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็วของการไหล ลักษณะการยึดท่อให้อยู่กับที่ ชุดอุปกรณ์นี้จะช่วยทำให้การเปิดและปิดน้ำของปั๊มเป็นไปอย่างนุ่มนวลและช่วยยืดอายุของปั๊มน้ำ ในที่นี้ถ้าเกษตรกรไม่ซื้อก็สามารถทำเองได้ชาวบ้านเรียกว่าแอร์แว
7.เบรกเกอร์หรือตู้โคลโทรลมอเตอร์ปั๊ม

การออกแบบระบบน้ำเพื่อการเกษตร การเลือกปั๊มน้ำการเกษตร

source : http://www.pakwanban.com/article/71/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3

การออกแบบระบบน้ำเพื่อการเกษตร  การเลือกปั๊มน้ำ
ปั๊มน้ำ
ปั๊มน้ำเป็น อุปกรณ์สำหรับส่งน้ำหรือถ่ายเทของเหลวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อเพิ่มแรงดันของน้ำ ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้ มอเตอร์(ไฟฟ้า) และ แบบที่ใช้ เครื่องยนต์(น้ำมัน) ทำหน้าที่หมุนส่งกำลังให้ปั๊มน้ำทำงาน เพื่อเพิ่มแรงดัน และส่งน้ำไปตามท่อปั๊มน้ำที่ใช้ในบ้านส่วนใหญ่
เครื่องสูบน้ำ(ปั๊มน้ำ) สำหรับการเกษตรนิยมใช้แบบปั๊มหอยโข่ง ซึ่งอาจขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ตามความเหมาะสม เช่น
ปั๊มน้ำขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 2HP(แรงม้า) จะให้น้ำเฉลี่ย 25,000-30,000  ลิตร/ชั่วโมง
ปั๊มน้ำขับด้วยเครื่องยนต์ แบบใช้เครื่องยนต์เบนซิลขนาด 5-7HP(แรงม้า) หรือแบบใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 8-12HP (แรงม้า)  จะให้น้ำเฉลี่ย 20,000-50,000  ลิตร/ชั่วโมง แล้วแต่อัตราเร่ง
เครื่องสูบน้ำ มักจะเป็นปัญหาให้กับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อเอามาใช้งาน ไม่ว่าเพื่อนำมาใช้ในรูปแบบใดก็ตาม ถ้าเลือกที่ให้น้ำมากไปก็เสียเงินเกินความจำเป็น ตัวที่ให้น้ำน้อยไปก็เสียเงินซื้อเครื่องใหม่ ทำให้ต้องเสียทรัพย์เพิ่มโดยไม่มีความจำเป็น
จะพิจารณาจากอัตราการไหล ซึ่งบอกปริมาณน้ำ(Quantity – Q) ต่อหน่วยเวลาและแรงดันหรือแรงส่งน้ำ (Head – H)  จะบอกความสูงเป็นเมตร ทั้ง Qและ จะเป็นตัวกำหนดกำลัง(แรง)ของเครื่องสูบน้ำนั้น ๆ ซึ่งอาจจะบอกเป็นวัตต์(W)กิโลวัตต์(KW) หรือแรงม้า(HP)  ตัวเลขดังกล่าวจะบอกไว้บน Name Plate บนตัวเรือนปั๊ม
เช่น เครื่องสูบน้ำมีแผ่นป้ายประจำมอเตอร์(Name Plate)บนตัวเครื่องระบุว่า
Q = 300-950 ลิตรต่อนาที
H = 12– 6 เมตร
อธิบายได้ว่า ถ้าเครื่องสูบน้ำส่งน้ำสูงที่ระยะไม่เกิน เมตร จะได้ปริมาณน้ำ 950 ลิตรต่อนาที ส่งน้ำสูงที่ระยะ 12 เมตร จะได้น้ำเพียง 300 ลิตรต่อนาที ส่วนปริมาณน้ำที่ระยะสูงระหว่าง 6-12 เมตร จะบอกมาในคู่มือCurves  เส้นโค้งแสดงสมรรถนะ(Performance Curves) การแจ้งข้อมูลดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องสูบน้ำที่ผลิตจากต่างประเทศ
ในการเลือก ปั๊มน้ำเบื้องต้น ถ้าต้องการปริมาณน้ำมาก จะต้องเลือกเครื่องสูบน้ำที่บอกปริมาณน้ำ (Q) ที่มีค่ามากๆ แต่ถ้าต้องการส่งน้ำไปไกลมาก และส่งขึ้นที่สูงต้องเลือกเครื่องสูบน้ำที่บอกค่า สูง ข้อควรรู้ที่ต้องทราบ  ถ้าค่าของ มาก ค่าของ จะต่ำ และถ้าค่า น้อย ค่าของ ก็จะสูง
นอกจากดูอัตราการไหล(Q) และแรงดัน(H) แล้ว ยังมีส่วนอื่นที่ทราบด้วย ดังนี้
แรงม้า( HP) บางเครื่องจะบอกเป็น แรงม้า( HP)บางเครื่องบอกเป็นกำลังไฟเป็นวัตต์ (W) หรือกิโลวัตต์(KW) เช่น  1 แรงม้า เท่ากับ 746 วัตต์
ดูเทียบจากตาราง
หน่วย
ขนาดมอเตอร์มาตรฐาน
กิโลวัตต์(KW)(แรงม้า HP)
0.4(0.5)
0.75( 1 )
1.1( 1.5)
1.5( 2 )
2.2( 3 )
3( 4 )
3.7( 5 )
 ความเร็วรอบเครื่อง(มอเตอร์) ในเครื่องสูบน้ำที่มีประสิทธิภาพและกำลังเท่ากัน ควรเลือกเครื่องรอบหมุนต่ำดีกว่า เพราะเครื่องที่มีรอบหมุนสูงจะสึกหรอและเสื่อมเร็ว   รอบการหมุนของเครื่องจะบอกหน่วยเป็น รอบต่อนาที (RPM)
เครื่องสูบมาตรฐานจะบอกชั้นของฉนวน(Insulation class)และระดับการป้องกันฝุ่นละอองและน้ำ (IP) ชั้นของฉนวนกันความร้อน จะบอกถึงอุณหภูมิสูงสุดที่มอเตอร์จะทนได้
ส่วนระดับการป้องกันฝุ่นละอองและการป้องกันน้ำ จะบอกเป็นตัวอักษร IP(Protection Degree IP)ตามด้วยตัวเลข หลัก หลักแรกมี ระดับ เริ่มจาก   0 – 5 บอกระดับที่เพิ่มขึ้นของการป้องกันวัสดุแปลกปลอมหรือบุคคลจากการสัมผัสกับไฟฟ้า หลักสองมี ระดับ เริ่มจาก 0 – 8 บอกถึงระดับที่เพิ่มขึ้นในการป้องกันน้ำเข้ามอเตอร์  มอเตอร์ที่ผลิตขายทั่วไปจะมีระดับการป้องกันสูงสุดที่ IP 55 แต่สำหรับปั๊มสูบน้ำบ่อบาดาล(Multistage Centrifugal Pump) มีระดับการป้องกันถึง IP 58 ก็มี
การเลือกขนาดของปั๊มน้ำ ให้ความสำคัญ ส่วนคือ ปริมาณการจ่ายน้ำ(Q) และ แรงดันน้ำ(H)
ปริมาณการจ่ายน้ำ(Q): คือปริมาณน้ำที่ต้องจ่ายในแต่ละครั้ง เช่นถ้าต้องการจ่ายน้ำครั้งละ1โซน Q = 6 ลบ.ม./ชม.
แรงดันน้ำ(H): ในพื้นที่ขนาดเล็ก ราบลุ่ม และใช้ท่อเมนไม่เกิน 100 เมตร จะต้องการแรงดันน้ำ H = 25 เมตร
ในพื้นที่ซึ่งระยะท่อเมนยาวกว่าปกติ คือมากกว่า 100 เมตร จะต้องเพิ่มค่าแรงดันมาตรฐาน(H=25)ขึ้นอีกเท่ากับ เมตรทุกๆระยะท่อเมน 100 เมตร เช่น ระยะท่อเมน 300 เมตร ดังนั้นแรงดันน้ำที่ต้องการ(H) = 25 + (4*300/100) = 25+12 = 37 มตร
                           
ในพื้นที่เป็นเนินลาดชัน จะต้องเพิ่มค่าแรงดันมาตรฐาน(H=25)ขึ้นอีกเท่ากับระดับความสูงระหว่างพื้นที่กับปั๊มน้ำ เช่น พื้นที่เป็นเนินสูงขึ้น เมตร ดังนั้นแรงดันน้ำที่ต้องการ(H) = 25+5 = 30 เมตร
หมายเหตุ 1.ในการเลือกปั๊มน้ำควรเพิ่มค่าแรงดันน้ำ(H)ขึ้นอีก ~30% เพื่อชดเชยแรงดันน้ำที่สูญในระบบ(Head Loss)
   2. 
หน่วยวัดกำลังของมอเตอร์มี ลักษณะ คือ HP(แรงม้า) และ Watt(วัตต์) (โดย 1 HP = 750 W.)
ข้อมูลไฟฟ้า จะต้องดูว่าใช้ไฟ กี่โวลต์ (V) ใช้กระแสไฟกี่แอมแปร์(A) ใช้ไฟ เฟตหรือไฟ เฟส  เพื่อเลือกเครื่องสูบที่ใช้ไฟฟ้าให้ตรงกับระบบไฟฟ้าของของสถานที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ
การเลือกซื้อปั๊ม 
1.รู้รายละเอียดการใช้น้ำ เช่น ถ้าจะติดตั้งสปริงเกอร์ต้องรู้ปริมาณน้ำและแรงดันของสปริงเกอร์แต่ล่ะชนิด เช่น หัวจ่ายน้ำแบบเหวี่ยงรูจ่ายน้ำ4 หมุนจ่ายปริมาณน้ำ 200-400ลิตร/ชั่วโมง หัวฉีดสเปรย์ รูน้ำผ่านขนาด2-3มิลลิเมตร จ่ายปริมาณน้ำ 80-120ลิตร/ชั่วโมง เป็นต้น
2.เลือกปั๊มน้ำ ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ปั๊มทะเล/เคมีสำหรับสูบน้ำทะเลหรือเคมีปั๊มหอยโข่งสำหรับงานเกษตร,งานสปริงเกลอร์,งานประปาหมู่บ้านหรืองานดับเพลิง ปั๊มแช่สำหรับงานดูดน้ำบาดาล,น้ำดีหรือน้ำเสีย
3.เลือกขนาดของปั๊ม ในการเลือกปั๊มต้องดูว่าปั๊มสามารถจ่ายปริมาณน้ำได้มากแค่ไหนเพียงพอกับการใช้งานหรือไม่ และที่แรงดันน้ำที่ต้องการ เช่น
ปริมาณน้ำ 280 ลิตร/นาที หรือ 30 m3 / h (ลูกบาศก์เมตร / ชั่วโมง) 
-แรงดัน5บาร์(10 m=1bar ) ระยะทางส่ง50เมตรเท่ากับ 5บาร์
ขนาดมอเตอร์ 220 V.หรือ380 V (Volt แรงดันไฟฟ้าที่จ่ายเข้ามอเตอร์) 
-50 Hz. (Hertz ความถี่ไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้)
- 400 W. (Watt กำลังไฟฟ้าที่มอเตอร์ใช้) 
- 1.6 A. ( Amp กระแสไฟฟ้า ที่มอเตอร์ใช้)  
ตัวอย่างการเลือกปั๊มน้ำการเกษตร ครอบคลุมพื้นที่ 5ไร่(8,000 ตารางเมตร)
ในที่นี้จะคำนวณระบบเพื่อหาขนาดของปั๊มน้ำ โดยกำหนดว่าเป็นสวนเกษตรผสมผสานมีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน
1.ปลูกมะนาว 200ต้น ใช้พื้นที่2ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ มินิสปริงเกอร์ Pro Series Set (หัวมินิสปริงเกอร์ พร้อมขาปัก 40 cm.+สายยาวสายไมโคร พีอี 60 cm.) ท่อแยกเป็นท่อPE 20มิลลิเมตร หัวมินิสปริงเกอร์เป็นแบบกระแทกด้านบนจ่ายน้ำลงมาเป็นรูปกรวยด้านล่าง อัตราการจ่ายน้ำ 70ลิตร/ชั่วโมง(1.16ลิตร/นาที) รัศมี 0.5-1.5เมตร
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา10นาที  1.16ลิตร/นาที x 10 นาที x 200จุด= 2,320ลิตร(232ลิตร/นาที)
2.ปลูกผักหวานบ้าน ใช้พื้นที่1ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ สปริง เกอร์ใบ PVC  (หูช้าง) ปริมาณน้ำ 360 ลิตร / ชม(6ลิตร/นาที). สวมใน ขนาด 1/2" ลักษณะน้ำกระจายเป็นเม็ดใหญ่กระจายทั่ว มุมน้ำ 45 องศา รัศมีน้ำ เมตรท่อจ่ายน้ำสูง 1เมตร ท่อแยกเป็นท่อ PVC ขนาด1นิ้ว ติดตั้งทั้งหมด 50จุด เปิดน้ำเป็นเวลา 20นาที
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา 20นาที  6ลิตร/นาที x 20นาที 50 จุด = 6,000ลิตร(300ลิตร/นาที)
3.ปลูกไผ่ ใช้พื้นที่ 1ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ มินิสปริงเกอร์ โรเตอร์ Pro Series Set (หัวมินิสปริงเกอร์ พร้อมขาปัก 40 cm.+สายยาวสายไมโคร พีอี 60 cm.) ท่อแยกเป็นท่อPE 20มิลิเมตร หัวมินิสปริงเกอร์เป็นแบบหมุนรอบตัว อัตราการจ่ายน้ำ 70ลิตร/ชั่วโมง(1.16ลิตร/นาที) รัศมี 1-2เมตร ติดตั้งทั้งหมด 100จุด เปิดน้ำเป็นเวลา 10นาที
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา10นาที  1.16ลิตร/นาที x 10 นาที x 100จุด= 1,160ลิตร(116ลิตร/นาที)
4. ปลูกผักสวนครัว ใช้พื้นที่1ไร่ เลือกหัวจ่ายน้ำแบบ มินิสปริงเกอร์ โรเตอร์ Pro Series Set (หัวมินิสปริงเกอร์ พร้อมขาปัก 40 cm.+สายยาวสายไมโคร พีอี 60 cm.) ท่อแยกเป็นท่อPE 20มิลิเมตร หัวมินิสปริงเกอร์เป็นแบบหมุนรอบตัว อัตราการจ่ายน้ำ 70ลิตร/ชั่วโมง(1.16ลิตร/นาที) รัศมี 1-2เมตร ติดตั้งทั้งหมด 100จุด เปิดน้ำเป็นเวลา 10นาที
ความต้องการน้ำรวมเป็นเวลา15นาที  1.16ลิตร/นาที x 15 นาที x 100จุด= 1,740ลิตร(116ลิตร/นาที)
รวมความต้องการน้ำจากข้อ1-4ภายใน 1นาที  =232+300+160+160 =852ลิตร(51,120ลิตร/ชั่วโมง)
ในการหาขนาดปั๊มเกษตรกรทราบแล้วว่าต้องการปั๊มน้ำที่จ่ายปริมาณน้ำต่ำสุดที่ 51,120ลิตร/ชั่วโมง แต่ในการใช้งานจริงจะมีการระบบจะมีการลดประสิทธิภาพความสามารถในการส่งน้ำของปั๊มน้ำหลายปัจจัย เช่น ความลึกของท่อด้านดูดของปั๊ม หรือระยะทางและขนาดของท่อเมนเป็นต้น รวมถึงส่วนต่อขยายเพิ่มในอนาคตดังนั้นจึงเพิ่มความต้องการไปอีก30% จะได้ 51,120+15,336 =66,456 ลิตร/ชั่วโมง(1,107ลิตร/นาที)
ในขั้นตอนนี้เกษตรคงทราบแล้วว่าต้องการปั๊มน้ำที่สามารถจ่ายปริมาณน้ำที่1,107ลิตร/นาที จากตัวเลขนี้ก็มาเทียบเคียงกับตารางมาตรฐานของปั๊มน้ำ
จากตัวเลขในตาราง เลือกปั๊มน้ำ รุ่น WCL-2205SF ขนาด 3 แรงม้า ท่อดูดและท่อจ่าย 3นิ้ว ใช้ไฟฟ้า 220V  โดยจุดส่งน้ำสูงจากฐานปั๊มน้ำไม่เกิน 4เมตร
หรือในกรณีที่ปั๊มน้ำ แหล่งน้ำและพื้นที่สวนอยู่ในระดับเดียวกันหรือพื้นที่สวนอยู่ต่ำกว่าฐานติดตั้งปั๊มน้ำเกษตรกรก็สามารถเลือกปั๊มขนาด 2แรงม้าได้ ในกรณีที่เกษตรกรมีปั๊มน้ำขนาด1แรงม้าอยู่แล้วก็สามารถใช้งานได้เช่นกันโดยใช้วาล์วน้ำเปิด-ปิดท่อแยกเพื่อจ่ายน้ำในแต่ล่ะพื้นที่ได้
สิ่งที่ควรรู้ก่อนการติดตั้งปั๊มน้ำ 
เมื่อเลือกขนาดปั๊มน้ำได้แล้ว ก็ต้องดูสถานที่ที่จะติดตั้งให้เหมาะสม เพื่อความสะดวก ปลอดภัย และทนทาน และก่อนการติดตั้งควรจะทำความเข้าใจส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อให้ปั้มน้ำทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สิ่งที่ควรทราบก่อนการติดตั้ง คือ
1.ศึกษาข้อมูลและคู่มือก่อนการติดตั้ง
 
2.ควรติดตั้งโดยช่างที่มีความรู้ ความชำนาญ
3.ตัดไฟฟ้าก่อนทำการติดตั้ง
4.ติดตั้งชุดควบคุม (เบรกเกอร์) เพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการซ่อมบำรุง
5.ขนาดของสายไฟต้องรองรับกระแสไฟฟ้าที่ใช้กับปั๊มได้
6.ต้องติดตั้งเข้ากับถังเก็บน้ำ
7.ติดตั้งในที่ร่ม หรืออาจทำเป็นหลังคาคลุม เพื่อไม่ให้โดนแดดโดนฝน
8.ติดตั้งให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 10 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและสะดวกต่อการซ่อมบำรุง
9.ติดตั้งให้สูงจากพื้นเล็กน้อยอยู่บนฐานรอง เพื่อป้องกันน้ำขังและสะดวกต่อการทำความสะอาด
10.ติดตั้งข้อต่อของปั๊มควรให้ได้ระนาบเดียวกันกับท่อน้ำ เพราะถ้าไม่ได้ระนาบอาจจะทำให้เสียหายได้ในขณะที่ปั้มทำงาน
11.ติดตั้งท่อน้ำควรระวังเรื่องเศษวัสดุและสิ่งสกปรกต่าง ๆ เข้าไปในท่อ ซึ่งจะทำให้ระบบเกิดการขัดข้องได้
12.ติดตั้งท่อดูดและท่อจ่ายน้ำให้ได้ขนาดถูกต้องตามคู่มือ
13.การติดตั้ง - ซ่อม ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ควรทำโดยช่างที่มีความรู้ ความชำนาญโดยตรง
ข้อควรระวังก่อนการติดตั้งปั๊มหอยโข่ง
1.การยกหรือเคลื่อนย้ายปั๊ม ควรกระทำด้วยความระมัดระวัง อย่าเหนี่ยวรั้งสายไฟของปั๊ม
2.ศึกษาข้อจำกัดการใช้งานโดยละเอียด
3.ควรหลีกเลี่ยงการใช้สูบของเหลวที่ไม่ใช่น้ำ เช่น น้ำมัน หรือเคมีอื่นๆ หรือใช้งานในสภาวะที่อาจเกิดอันตรายได้
4.ไฟฟ้าจ่ายเข้าตัวปั๊มจะต้องเป็นระบบเดียวกัน ควรติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟ และต่อสายดินทุกครั้ง
5.เลือกใช้ท่อเหล็ก หรือท่อพลาสติกที่ทนแรงดันได้ เพื่อป้องกันการเสียหายอันเกิดจากแรงสุญญากาศขณะดูด
6.ควรหลีกเลี่ยงการใช้ท่ออ่อน หรือสายยางสำหรับท่อดูด หรือท่อจ่ายเพื่อป้องกันท่อตีบและบิดงอ
7.ไม่ควรใช้งานเกินประสิทธิภาพของปั๊มเพราะอาจทำให้ปั๊มเสียหายได้
8.ควรระวังไม่ให้ปั๊มโดนน้ำหรือฝนสาดเพราะอาจทำให้อายุการใช้งานของปั๊มสั้นลง
9.การต่อท่อต้องซีลให้สนิทไม่รั่วลมในท่อดูด เพราะจะมีผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของปั๊ม
10.ท่อดูดจะต้องไม่สูงกว่าระดับของตัวปั๊ม
11.ท่อดูดจะต้องใส่ฟุตวาล์ว (หัวกะโหลก) และอาจจะใส่ตัวกรองน้ำร่วมด้วย
12.ปลายท่อดูดจะต้องจมอยู่ในน้ำ และควรห้างจากก้นย่อและผนังข้างบ่อไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางท่อดูด
13.จำไว้ว่า ปั๊มจะต้องมีน้ำเต็มตลอดเวลาในขณะใช้งาน
14.ท่อด้านจ่ายเหนือปั๊มน้ำให้ติดวาล์วกันน้ำย้อนและประตูน้ำ
15.เมื่อใช้งานอย่าลืมเปิดประตูน้ำทางท่อจ่าย
16.การติดตั้งท่อหรือชิ้นส่วนอื่นใดให้แน่ใจว่าน้ำหนักของมันจะไม่ส่งผลเสียโดยตรงต่อปั๊ม
17.หลีกเลี่ยงการต่อท่อหลายทาง หรือต่อท่อโค้งซิกแซกไปมา
18.ก่อนซ่อมบำรุงปั๊มจะต้องตัดกระแสไฟฟ้าออกก่อน